คำประกาศการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลสำหรับคู่ค้า( Privacy Notice for Third Party )

    บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือ (“บริษัท”) ตระหนักดีถึงสิทธิในความเป็นส่วนตัวและหน้าที่ความรับผิดชอบของบริษัทเกี่ยวกับ การเก็บรวบรวม การใช้ การเปิดเผย (“ประมวลผล”) ข้อมูลส่วนบุคคลของบุคคลที่เกี่ยวข้อง บริษัทยึดค่านิยมที่ว่าความไว้วางใจและความเชื่อมั่นที่ท่านมีให้ทั้งจาก ลูกค้า และบุคคลภายนอก (“ท่าน”) เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสิ่งหนึ่ง บริษัทจึงมุ่งมั่นที่จะจัดให้มีการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลอย่างถูกต้องและเหมาะสม รวมทั้งเป็นไปตามที่ พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 (“พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล”) กำหนดไว้ บริษัทจึงได้จัดทำประกาศการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลฉบับนี้ขึ้นเพื่ออธิบายถึงวิธีการที่บริษัทปฏิบัติต่อข้อมูลส่วนบุคคล เช่น การเก็บรวบรวม การจัดเก็บรักษา การใช้ การเปิดเผย รวมถึงสิทธิต่าง ๆ ของท่านเพื่อให้ท่านได้รับทราบถึงแนวทางในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของบริษัท

1. ข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทจัดเก็บรวบรวม

    บริษัทจะประมวลผลข้อมูลส่วนบุคล (ซึ่งรวมไปถึงข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหว ตามที่กำหนดไว้ใน มาตรา 26 พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล) และที่คณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (“คณะกรรมการ”) กำหนด ดังนี้

ข้อมูลส่วนบุคคลทั่วไปชื่อ นามสกุล ที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน ที่อยู่ปัจจุบัน เบอร์โทรศัพท์บ้านหรือมือถือ หรือรายละเอียดการติดต่ออื่น ๆ เพศ สัญชาติ สถานภาพการสมรส วันเกิด เลขที่หนังสือเดินทาง/บัตรประจำตัวประชาชน ลายมือชื่อ
ข้อมูลและประวัติเกี่ยวกับการทำงานคุณวุฒิการศึกษาจากโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย รวมถึงหนังสือรับรองและหนังสืออ้างอิงจากสถาบันการศึกษา
ข้อมูลเกี่ยวกับสภาพงานที่จ้างใบอนุญาตทางราชการที่ออกให้ท่าน
ข้อมูลเกี่ยวกับผลประโยชน์และค่าตอบแทนรายละเอียดเกี่ยวกับค่าจ้าง และ/หรือ ผลประโยชน์อื่นๆ ที่ได้รับ เลขบัญชีธนาคาร ข้อมูลของบุคคลภายนอกที่ได้รับประโยชน์
ข้อมูลส่วนบุคคลทั่วไปที่ปรากฏในเอกสารราชการหนังสือรับรองบริษัท บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น หรือเอกสารเกี่ยวกับนิติบุคคลอื่นใดที่มีข้อมูลส่วนบุคคลของคู่สัญญา
ข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทร้องขอจากคู่สัญญานิติบุคคลเพื่อใช้ในการประกอบการเข้าทำสัญญา การบริการ หรือการดำเนินการอื่นใดที่เกี่ยวข้อง ตามที่บริษัทได้แจ้งหรือขอร้องไปยังท่าน

    หากท่านให้ข้อมูลส่วนบุคคลของบุคคลอื่น เช่น กรรมการ ผู้ถือหุ้น ผู้แทน ข้อมูลเกี่ยวกับคู่สมรส ข้อมูลเกี่ยวกับสมาชิกในครอบครัว ข้อมูลเกี่ยวกับบุตร ข้อมูลเกี่ยวกับผู้ค้ำประกัน ข้อมูลเกี่ยวกับผู้รับประโยชน์ หรือท่านขอให้บริษัทเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของบุคคลอื่นแก่บุคคลภายนอก ท่านมีหน้าที่รับผิดชอบในการแจ้งรายละเอียดตามประกาศฉบับนี้ให้แก่บุคคลดังกล่าวทราบ ตลอดจนขอความยินยอมจากบุคคลอื่นนั้น

    บริษัทจะไม่ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่อ่อนไหวของท่าน เว้นแต่กรณีที่บริษัทได้รับความยินยอมโดยชัดแจ้งจากท่าน หรือเพื่อใช้สิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย หรือปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนด หรือในกรณีอื่นใดตามที่กฎหมายกำหนดไว้

2. วิธีการได้มาและจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน

    บริษัทจะเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของท่านด้วยความจำเป็นและฐานที่กฎหมายกำหนด ดังนี้

    2.1 เมื่อท่านแสดงเจตนาจะเข้าทำหรือทำสัญญากู้สินเชื่อ รวมทั้งผลิตภัณฑ์และบริการเกี่ยวกับการเงิน การลงทุน ของบริษัท หรือเมื่อท่าน เข้าถึงหรือใช้เว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชัน และ/หรือบริการต่าง ๆ ทางออนไลน์บนอุปกรณ์เคลื่อนที่หรือทางโทรศัพท์ หรือบริการอื่นๆ ของบริษัท

    2.2 เมื่อท่านส่งเอกสารและชุดสัญญากู้สินเชื่อเพื่อจะเข้าทำสัญญากู้สินเชื่อกับบริษัท หรือเมื่อท่านให้ข้อมูล ขณะที่พิจารณาจะเข้าทำหรือทำสัญญากู้สินเชื่อที่เป็นผลิตภัณฑ์หรือบริการต่าง ๆ ของบริษัท

    2.3 เมื่อท่านติดต่อสื่อสารเป็นหนังสือหรือวาจาผ่านทางเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน สื่อสังคมออนไลน์ โทรศัพท์ อีเมล การพบปะกันโดยตรง การสัมภาษณ์ ข้อความสั้น (SMS) โทรสาร ไปรษณีย์ หรือโดยวิธีการอื่นใด กับบุคลากร เจ้าหน้าที่บริการลูกค้า ผู้รับจ้าง คู่ค้า ผู้ให้บริการ ผู้รับมอบอำนาจ ผู้กระทำการแทน หรือบุคคลอื่นหรือหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องของบริษัท (“บุคลากรและคู่ค้าของบริษัท”)

    2.4 เมื่อท่านได้ให้ความยินยอมส่งข้อมูลส่วนบุคคลให้แก่บริษัท เพื่อเข้าร่วมในกิจกรรมทางการตลาด การประกวด การจับฉลาก งานอีเว้นท์ หรือการนำเสนอผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ของบริษัท หรือของคู่ค้า หรือบริษัทในเครือของบริษัท

    2.5 เมื่อบริษัทได้รับข้อมูลส่วนบุคคลจากแหล่งที่มาอื่นที่มิใช่ท่านเอง ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียงการได้รับข้อมูลจากการตรวจสอบจากแหล่งข้อมูลที่เป็นสาธารณะ แหล่งข้อมูลส่วนตัว หรือแหล่งข้อมูลเชิงพาณิชย์ เว็บไซต์ แหล่งข้อมูลสื่อสังคมออนไลน์ ผู้ให้บริการข้อมูล (Data provider) สมาคมหรือสมาพันธ์ของธรุกิจที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ที่ท่านได้เข้าทำสัญญาหรือใช้บริการ การร้องเรียนเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และบริการของบริษัท

    2.6 เมื่อบริษัทได้รับข้อมูลส่วนบุคคลจากแหล่งที่มาอื่นที่มิใช่ท่านเอง เพื่อวัตถุประสงค์ในการปฏิบัติตามกฎหมายและเพื่อวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการกำกับดูแลในประการอื่น ๆ ตลอดจนเพื่อวัตถุประสงค์อื่น ๆ ที่ชอบด้วยกฎหมาย เช่น บริษัทอาจได้รับข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าของจาก ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค เป็นต้น

3. วัตถุประสงค์และฐานในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล

สิทธิหน้าที่มีตามสัญญา– การดำเนินการเพื่อเข้าทำสัญญาระหว่างท่านและบริษัท โดยต้องมีการดำเนินการพิสูจน์ตัวตน การยืนยันตัวตน ตลอดจนการลงนามในสัญญา
– การดำเนินการพิจารณาคุณสมบัติและความเหมาะสมของท่าน
– เพื่อตรวจสอบและยืนยันตัวบุคคลหรือนิติบุคคลของท่าน
– เพื่อดำเนินการปฏิบัติตามกระบวนการของบริษัทเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของสัญญา
– เพื่อตรวจสอบประวัติก่อนและระหว่างเข้าทำสัญญา และอาจมีการตรวจสอบรายละเอียดดังกล่าวระหว่างระยะเวลาตามสัญญา
– เพื่อการก่อตั้ง ใช้ โต้แย้ง หรือดำเนินการตามสิทธิเรียกร้องของบริษัท
– เพื่อการติดต่อ และการดำเนินธุรกิจของบริษัทตลอดระยะเวลาที่บริษัทยังมีนิติสัมพันธ์
ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย– การปฏิบัติตามคำสั่งของผู้มีอำนาจตามกฎหมาย
– การปฏิบัติตามกฎหมายภายใต้การกำกับดูแลกฎหมายภาษีอากร และกฎหมายอื่น ๆ ที่บริษัทจำเป็นต้องปฏิบัติตามทั้งของในประเทศไทยและต่างประเทศ รวมถึงประกาศและระเบียบที่ออกตามกฎหมายดังกล่าว
ประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย– การสรรหา การคัดเลือก และการดำเนินงานเกี่ยวกับการเข้าทำสัญญากับบริษัท โดยการประเมินคุณสมบัติตามข้อมูลที่ปรากฎในแหล่งข้อมูลที่เป็นสาธารณะ รวมถึงคุณสมบัติของท่าน
– การบริหารความเสี่ยง การกำกับตรวจสอบ การบริหารจัดการภายในองค์กร รวมถึงการส่งต่อไปยังบริษัทในเครือกิจการเดียวกันเพื่อการดังกล่าว ภายใต้นโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลบริษัท
– การทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวบุคคลได้
– การป้องกัน รับมือ ลดความเสี่ยงที่อาจเกิดการกระทำการทุจริต การผิดนัดชำระหนี้หรือผิดสัญญา การทำผิดกฎหมายต่าง ซึ่งรวมถึงการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อยกระดับมาตรฐานการทำงานของบริษัทในเครือกิจการ/ธุรกิจเดียวกันในการป้องกัน รับมือ ลดความเสี่ยง
– การส่งพัสดุหรือจดหมาย
ความยินยอม– เพื่อให้ท่านได้รับผลิตภัณฑ์และ/หรือบริการที่ดี และสอดคล้องกับความต้องการของท่าน
– เพื่อให้ท่านได้รับข้อเสนอ สิทธิประโยชน์พิเศษ คำแนะนำ และข่าวสารต่างๆ รวมถึงสิทธิในการเข้าร่วมกิจกรรมพิเศษ

4. การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน

บริษัทในเครือบริษัทอาจต้องเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านให้แก่บริษัทในเครือของบริษัท เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการให้บริการ รวมถึงสิทธิประโยชน์ต่างๆแก่ท่าน
ผู้ให้บริการบริษัทอาจว่าจ้างบริษัทอื่นเป็นผู้ให้บริการแทนหรือสนับสนุนการประกอบธุรกิจของบริษัท เช่น ผู้ให้บริการภายนอก (Outsourcing) ตัวแทน ผู้รับจ้างช่วงงานต่อ เป็นต้น ซึ่งบริษัทอาจจะต้องเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านให้แก่ผู้ให้บริการแทนหรือสนับสนุนการประกอบธุรกิจของบริษัทเหล่านี้เพื่อใช้ในวัตถุประสงค์ทางธุรกิจต่างๆ รวมถึงการให้บริการแก่ลูกค้า เช่น ผู้ให้บริการด้านการจัดทำเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน ผู้ให้บริการ Cloud ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ เครือข่ายต่างๆ
ที่ปรึกษาวิชาชีพบริษัทอาจต้องเปิดเผยข้อมูลของท่านให้แก่ที่ปรึกษาวิชาชีพด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ การตรวจสอบ กฎหมาย บัญชี และการบริการทางภาษี เพื่อสนับสนุนการประกอบธุรกิจของบริษัท
หน่วยงานภาครัฐและหน่วยงานอื่นที่ต้องเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อวัตถุประสงค์ทางกฎหมายหรือวัตถุประสงค์จำเป็น– การเปิดเผยข้อมูลของท่านให้แก่หน่วยงานภาครัฐที่มีอำนาจ หน้าที่ในการกำกับดูแลกฎหมายและกฎระเบียบดังต่อไปนี้ เกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติตามกฎหมายภายใต้การกำกับดูแลกฎหมายภาษีอากร และกฎหมายอื่น ๆ ที่บริษัทจำเป็นต้องปฏิบัติตามทั้งของในประเทศไทยและต่างประเทศ รวมถึงประกาศและระเบียบที่ออกตามกฎหมายดังกล่าว
– พันธมิตรทางธุรกิจ
ผู้รับข้อมูลประเภทอื่นพันธมิตรทางธุรกิจ

5. การส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลไปยังต่างประเทศ (หากมี)

    บริษัทอาจมีความจำเป็นต้องส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลของไปยังบริษัทในเครือกิจการ/ธุรกิจเดียวกันที่อยู่ต่างประเทศ หรือไปยังผู้รับข้อมูลอื่นซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินธุรกิจตามปกติของบริษัท เช่น การส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลไปเก็บไว้บนเซิร์ฟเวอร์หรือคลาวด์ในประเทศต่าง ๆ บริษัทจะดูแลการส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด และจะดำเนินการให้มีมาตรการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่เห็นว่าจำเป็นและเหมาะสมสอดคล้องกับมาตรฐาน

6. ระยะเวลาในการจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคล

    บริษัทจะเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลในระยะเวลาเท่าที่จำเป็นอย่างสมเหตุสมผลเพื่อให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ที่ระบุในประกาศนี้ ทั้งนี้บริษัทจะเก็บกรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไม่เกิน 10 ปี นับแต่วันสิ้นสุดความสัมพันธ์หรือมีการติดต่อครั้งสุดท้ายกับบริษัท หากมีการดำเนินการทางกฎหมายหรือมีความจำเป็นอื่นใด อาจมีการเก็บข้อมูลส่วนบุคคลไว้จนกว่าการดำเนินการนั้นจะสิ้นสุด ซึ่งรวมถึงระยะเวลาที่เป็นไปได้ในการยื่นอุทธรณ์และ/หรือฎีกา หลังจากนั้นบริษัทจะมีขั้นตอนกระบวนการ เพื่อทำการลบหรือทำลาย หรือทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวท่านได้ตามที่กฎหมายที่ใช้บังคับอนุญาตให้กระทำได้

7. มาตรการรักษาความมั่นคงความปลอดภัยข้อมูลส่วนบุคคล

    บริษัทตระหนักดีถึงความสำคัญของการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน บริษัทจึงกำหนดให้มีมาตรการในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลอย่างเหมาะสม และสอดคล้องกับการรักษาความลับของข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อป้องกันการสูญหาย การเข้าถึง ทำลาย ใช้ แปลง แก้ไข หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่มีสิทธิ หรือโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย

8. สิทธิของท่าน

    8.1 สิทธิในการเพิกถอนความยินยอม ท่านมีสิทธิในการเพิกถอนความยินยอมที่ได้ให้ไว้ก่อนหน้าในการประมวลผลข้อมูล อย่างไรก็ตาม การเพิกถอนความยินยอมดังกล่าวย่อมไม่ส่งผลต่อการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านได้ให้ความยินยอมไว้ก่อนหน้าโดยชอบด้วยกฎหมาย

    8.2 สิทธิในการคัดค้านการประมวลผลข้อมูล ท่านมีสิทธิในการคัดค้านการประมวลผลโดยการอ้างอิงฐานกฎหมายอื่นที่ไม่ใช่ฐานความยินยอม

    8.3 สิทธิในการได้รับการแจ้งให้ทราบ ท่านมีสิทธิในการรับทราบข้อมูลของตนเองที่ได้มีการประมวลโดยบริษัทได้รับมาจากการเปิดเผยที่เกี่ยวกับการประมวลผลข้อมูลและขอให้บริษัททำสำเนาดังกล่าวแก่ท่าน

    8.4 สิทธิในการแก้ไขข้อมูล ท่านมีสิทธิยืนยันความถูกต้องและแก้ข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อให้ข้อมูลดังกล่าวถูกต้องและเป็นปัจจุบัน

    8.5 สิทธิในการระงับการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล ท่านมีสิทธิในการระงับการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล ในกรณีดังกล่าวบริษัทจะไม่ประมวลผลข้อมูลของท่านนอกเหนือจากการจัดเก็บข้อมูลเพียงเท่านั้น

    8.6 สิทธิในการขอให้ลบ หรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคล ท่านมีสิทธิในการขอให้บริษัทลบข้อมูลส่วนบุคคลของท่านออกจากการจัดเก็บของบริษัท

    8.7 สิทธิในการขอรับและให้โอนย้ายข้อมูลส่วนบุคคล ท่านมีสิทธิขอรับข้อมูลส่วนบุคคลของตนเองแบบที่สามารถอ่านหรือใช้งานได้ด้วยเครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ทำงานได้ และให้บริษัทส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลในรูปแบบดังกล่าวไปยังผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลอื่นเมื่อสามารถทำได้ด้วยวิธีดังกล่าว สิทธิในข้อนี้จะสามารถทำได้หากข้อมูลส่วนบุคคลได้ถูกประมวลผลในรูปแบบอัติโนมัติและได้ประมวลผลตามฐานความยินยอม ฐานสัญญาที่ท่านเป็นคู่สัญญาหรือก่อนเข้าทำสัญญา

    8.8 สิทธิในการร้องเรียน ท่านมีสิทธิในการร้องเรียนต่อผู้มีอำนาจตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง หากท่านเชื่อว่าการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลเป็นการกระทำในลักษณะที่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

    8.9 สิทธิในการเข้าถึง ขอสำเนา หรือให้เปิดเผยถึงการได้มาของข้อมูลส่วนบุคคล ท่านมีสิทธิในการขอเข้าถึง หรือขอรับสำเนาข้อมูลส่วนบุคคลของท่านได้ รวมถึงสามารถขอให้เปิดเผยการได้มาของข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน

    ทั้งนี้ บริษัทจะดำเนินการตามสิทธิของท่าน เมื่อมีการร้องขอตามช่องทางการขอใช้สิทธิโดยท่านสามารถใช้สิทธิได้ตามช่องทางสาขา และเว็บไซต์ อย่างไรก็ตามบริษัทอาจขอสงวนสิทธิไม่ปฏิบัติตามคำร้องขอใช้สิทธิของท่าน ตามความเหมาะสมและเท่าที่กฎหมายและกฎระเบียบกำหนด บริษัทอาจมีสิทธิเรียกเก็บค่าใช้จ่ายที่สมเหตุสมผล สำหรับการดำเนินการเกี่ยวกับคำร้องขอใช้สิทธินั้น

9. การติดต่อสอบถามหรือใช้สิทธิของท่าน

     บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) เลขที่ 332/1 ถนนจรัญสนิทวงศ์ แขวงบางพลัด เขตบางพลัด กรุงเทพฯ 10700 โทรศัพท์ 02-4838888
เจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Data Protection Officer: DPO)
E-mail: [email protected]
สถานที่ติดต่อ : บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) เลขที่ 332/1 ถนนจรัญสนิทวงศ์ แขวงบางพลัด เขตบางพลัด กรุงเทพฯ 10700

10. การเปลี่ยนแปลงประกาศการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

    บริษัทขอสงวนสิทธิในการแก้ไข เพิ่มเติม เปลี่ยนแปลง ปรับปรุง หรือปรับเปลี่ยนประกาศนี้ เท่าที่กฎหมายอนุญาต เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมาย การเปลี่ยนแปลงของการให้บริการ การดำเนินงานของบริษัท และข้อแสนอแนะ ความคิดเห็นจากเจ้าของข้อมูล โดยบริษัทจะประกาศแจ้งการเปลี่ยนแปลงให้ทราบหากการแก้ไขเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นสาระสำคัญของประกาศนี้ ก่อนจะเริ่มดำเนินการเปลี่ยนแปลง และประกาศแจ้งเตือนให้เจ้าของข้อมูลทราบโดยตรงไม่ว่าวิธีใดก็ตาม